-
- ชื่อ-นามสกุล (ภาษาไทย)ผศ.ดร.วรากร สงวนทรัพย์
- ชื่อ-นามสกุล (ภาษาอังกฤษ)ผศ.ดร.Varakorn Saguansup
- ตำแหน่งทางวิชาการผู้ช่วยศาสตราจารย์
- ตำแหน่งปัจจุบันผู้ช่วยศาสตราจารย์
- คณะ/หน่วยงาน*คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
- โทรศัพท์XXX
- E-Mail Addresaee_varakorn@hotmail.com
- สาขาวิชาการที่มีความชำนาญงานสอน
อัพเดทล่าสุด
09 ก.ย. 256600060จำนวนคนดู
ชื่อโครงการ | นวัตกรรมการจัดการน้ำทางการเกษตรเพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยพลังงานทางเลือก จังหวัดปทุมธานี |
ชื่อโครงการภาษาอังกฤษ | Innovation of Water Management for Good Agricultural Practice to Prepare for Climate Change by Using Alternative Energy. |
หน่วยงาน | |
หัวหน้าโครงการ | ผศ.วรากร สงวนทรัพย์ |
ผู้ร่วมวิจัย |
1. ผศ.สุกัญญา ชัยพงษ์ 2. ผศ.กุลยา สาริชีวิน |
พี่เลี้ยง | |
ที่ปรึกษา | |
ปีงบประมาณ | 2563 |
คำสำคัญ | นวัตกรรม การจัดการน้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานทางเลือก |
ผลลัพธ์ | |
บทคัดย่อ (ภาษาไทย) | |
บทคัดย่อ (ภาษาอังกฤษ) | |
หลักการและเหตุผล | ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จัดว่าเป็นภัยคุกคามที่กัดกร่อนความมั่นคงและการพัฒนาของ นานาประเทศ อีกทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชากรโดยรวม ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ภายในปี ค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2643) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อาจจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของภูมิภาค ตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ลดลงถึงร้อยละ 7 ต่อปี ระดับน้ำทะเลอาจจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 50 เซนติเมตร และสภาวะ สุดขีดของลมฟ้าอากาศ จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งล้วนแต่จะ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร (food security) และเกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ (อัสมน, 2554) สอดคล้องกับรายงานแนวโน้วการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยของศูนย์วิจัยและฝึกอบรมผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( SEA START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า อุณหภูมิสูงขึ้น เล็กน้อย พื้นที่ที่จะมีอากาศร้อนจัดจะแพร่ขยายขึ้นมาก ช่วงเวลาอากาศร้อนจะยาวนานขึ้น ฤดูหนาวหดสั้นลง ฤดูฝนคงระยะเวลาเดิม แต่ปริมาณน้ำฝนรายปีเพิ่มสูงขึ้น และความผันผวนระหว่างฤดู และระหว่างปีเพิ่มสูงขึ้น (ศุภกร, 2557) ผลกระทบจากการเกิดภาวะโลกร้อนโลกร้อนทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีก 0.1-0.3 องศา ในทุก 10 ปี ทำให้ปริมาณน้ำฝนโดยรวมมีแนวโน้มลดลง และความรุนแรงของสภาพ ภูมิอากาศมีมากขึ้น ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป สภาพพื้นที่แห้งแล้งจะเพิ่มขึ้นทำ มีการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศของพืช พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งก็จะแห้งแล้ง นานขึ้น (จงรัก วัชรินทร์รัตน์, 2554 ; นิพนธ์ ตั้งธรรม, 2549 ; องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก , 2560) ผลกระทบต่อภาคการเกษตร เช่น พื้นที่เกษตรเสียหายจากภัยแล้งหรือน้ำท่วม ส่งผลต่อการ ผลิตภาคการเกษตรของประเทศ ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงรายได้ (รัชนีสนกกนก, 2553) ประกอบกับวิกฤตการณ์พลังงานและราคานน้ำมันี่่มีความผันผวนสูงก่อให้เกิดผลกระทบในทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตประมาณปีพ.ศ. 2583 สังคมโลกคงต้องเผชิญหน้ากับภาวะการขาดแคลนน้ำมนอย่างแน่นอน(ปัทมา ศิริธัญญา, 2549: 2) ปัญหาดงกล่าวทำให้ทั่วโลกให้ความสําคญกับปัญญหาการขาดแคลนพลังงานเพิ่มมากขึ้น และมีการคิดและพัฒนาพลังงานทดแทนจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่โดยการนาแหล่งพลังงานจากธรรมชาติเช่น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ แรงขบดันของน้ำ คลื่น แรงลม รวมทั้งความร้อนใต้พิภพมาพัฒนาประยุกต์ ให้เป็นพลังงานที่สามารถนามาบริโภคได้เพื่อแก้ปัญหาการหมดไปของพลังงานประเภทสิ้นเปลือง (Non Renewable Energy) และผลกดันพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ให้เป็นพลงงานหลักในอนาคตต่อไป อย่างไรก็ตาม แนวทางการปรับตัวต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศในภาพรวมของประเทศแล้ว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำนโยบายมาประยุกต์สู่ การปฏิบัติ โดยเฉพาะในบริบทการบริหารจัดการภาคการเกษตรและทรัพยากรป่าไม้ เพื่อตอบสนอง การพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทัน การเตรียมพร้อม และการ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่เป็นประเทศที่การเกษตรยังคงมีความสำคัญระบบเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีการทำการเกษตรโดยอาศัยน้ำทางธรรมชาติเป็นหลัก ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ และสภาพแวดล้อมของประเทศไทยมีความแตกต่างกัน คนในแต่ละภูมิภาคจำเป็นต้องมีการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นของตน ในส่วนของภาคกลางเกิดปัญหาน้ำท่วมขัง บางพื้นที่มีระดับน้ำต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง และภาคกลางยังประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่มีผลต่อคุณภาพของน้ำถึงแม้ว่าน้ำที่มีอยู่มีปริมาณเพียงพอต่อการใช้แต่ปัญหาที่ตามมาคือการปล่อยน้ำเสียจากการครัวเรือนและอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ทำให้เกษตรกรต้องมีการจัดการเพื่อการนำน้ำมาใช้เพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างต่อเนื่อง การใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรของจังหวัดมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากจังหวัดปทุมธานีเป็นเขตปริมณฑลอยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจจึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย ได้แก่โครงการบ้านจัดสรรที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จังหวัดปทุมธานีไม่มีแหล่งน้ำต้นทุนขนาดใหญ่ นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยาเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดปทุมธานี ดังนั้น น้ำที่ใช้ทางการเกษตร ได้จากระบบคลองส่งน้ำชลประทานและคลองธรรมชาติ โดยพื้นที่รับน้ำชลประทาน ประมาณ 535,058ไร่ หรือร้อยละ 56.11 ของพื้นที่จังหวัดมีการส่งน้ำผ่านคลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองหกวาสายล่าง และคลองระบายน้ำ ต่างๆ ตั้งแต่คลองหนึ่งจนถึงคลองสิบสี่ ทั้งสายบนและสายล่าง ครอบคลุมพื้นที่อำเภอธัญบุรี (สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี, 2559) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ของคลองรังสิตโดยตรง ทั้งนี้การใช้ประโยชน์จะแตกต่างกันไปตามสภาพการใช้ที่ดินโดยรอบคลองแต่ละคลอง พบว่าบริเวณคลองหนึ่งถึงคลองห้า ซึ่งเป็นย่านที่มีการค้าพาณิชย์และชุมชนหนาแน่นปานกลาง คุณภาพน้ำในคลองอยู่ในระดับต่ำ ไม่เหมาะแก่การบริโภค-อุปโภค การใช้ประโยชน์จะเป็นการใช้เพื่อการเกษตรกรรมบางส่วนและเพื่อการสัญจรไปมา ตลอดจนถึงการใช้เป็นสถานที่ค้าขาย สำหรับพื้นที่คลองหกถึงคลองสิบสี่ คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์เพื่อการอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม และจะค่อนข้างสะอาดกว่าน้ำในคลองต้นๆ การใช้น้ำในแถบนี้จึงใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก ปัญหาความขัดแย้งต่อการใช้น้ำ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำ ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมและหมู่บ้านที่พัฒนาในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จะใช้คลองรังสิตเป็นแหล่งระบายน้ำทิ้ง จึงมีผลต่อคุณภาพน้ำใช้ของชาวบ้านดั่งเดิม(จันทรา ทองคำเภา และคณะ, 2541) ถึงแม้การทำการเกษตรจะลดลงตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินแต่ยังคงพบว่ามีการใช้ที่ดินด้านการเกษตรมากกว่า 50% ของพื้นที่ทั้งหมด (กองนโยบายและแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน, 2560) โดยการทำการเกษตรในจังหวัดปทุมธานีมีทั้งการพึ่งพิงระบบคลองที่มีอยู่ และการพึ่งพิงระบบบ่อน้ำซึ่งยังคงเป็นระบบที่พึ่งพิงสภาพภูมิอากาศเป็นหลักในขณะที่สภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะแห้งแล้งมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น ประกอบการการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่เกิดจากการเป็นเมืองขยายของตัวจังหวัดเองที่ติดกับเมืองหลักอย่างกรุงเทพมหานครทำให้เกิดการนำน้ำที่มีมลพิษมาใช้ทำการเกษตร ดังนั้นการวางแผนการจัดการด้านการเกษตรให้สามารถมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรตลอดทั้งปีตามความเหมาะสมในบริบทของพื้นที่จึงเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะการเกษตรในพื้นที่ใกล้เมืองชุมชนเมืองเพื่อเป็นอาหารที่มีคุณภาพให้กับคนเมือง ประกอบกับการมีคุณภาพของการเกษตรก็เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะการมีน้ำที่มีคุณภาพสำหรับการทำการเกษตร และเพื่อให้การลดการพึ่งพิงพลังงานไฟฟ้าจึงมีแนวคิดในการจัดการระบบการให้น้ำกับพืชโดยใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดต้นทุน และใช้ทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ต่อไป |
วัตถุประสงค์ | 1) เพื่อศึกษาระบบบำบัดน้ำเพื่อการเกษตร และรูปแบบการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรที่เหมาะสมตามบริบทของพื้นที่ 2) เพื่อทดสอบระบบบำบัดน้ำเพื่อการเกษตร และระบบการจัดการน้ำที่เหมาะสมต่อการทำการเกษตร 3) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการจัดการน้ำทางการเกษตรโดยการเลือกใช้พลังงานทางเลือก |